ภัยร้ายในฤดูร้อน! ฮีทสโตรกในสุนัขอันตรายอย่างไร ตัวไหนเสี่ยง

ใช้เวลา 3 นาที ในการอ่านบทความนี้

อากาศประเทศไทยร้อนมาก ๆ จะว่าประเทศไทยมีเพียง 3 ฤดูก็ว่าได้ ฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูร้อนมาก ซึ่งคนที่แข็งแรงอย่างเรา ๆ หากออกไปยืนตากแดดกลางแจ้งในฤดูร้อนก็ทำให้เกิดเป็นลมได้ง่าย ๆ เลย อากาศร้อน ๆ แบบนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่หากส่งผลกระทบต่อสุนัขอีกด้วย ฮีทสโตรกในสุนัขคืออะไร ทำไมอันตรายถึงชีวิต สังเกตอาการสุนัขเป็นฮีทสโตรก รวมถึงวิธีจัดการเบื้องต้นในฐานะเจ้าของ ตามไปดูกันเลยค่ะ

ฮีทสโตรกในสุนัขคืออะไร?

ฮีทสโตรกในสุนัข คือภาวะที่สุนัขมีอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ หากแต่สุนัขมีอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิร้อนจัด เมื่อสุนัขเป็น Heatstroke เราจะสามารถวัดอุณหภูมิได้มากกว่า 104 องศาฟาเรนไฮต์หรือมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิสูงขนาดนี้ จะส่งผลต่อการทำงานในอวัยวะต่าง ๆ ของสุนัข หากปล่อยเอาไว้เป็นระยะเวลานานอาจทำให้สุนัขถึงแก่ชีวิตได้ 

ฮีทสโตรกในสุนัขเกิดจากอะไร

การเกิดฮีทสโตรกในสุนัขถูกแบ่งออกเป็นเกิดในขณะออกกำลังกาย (exertional) หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่ใช่ในขณะออกกำลังกาย (nonexertional, หรือเรียกอีกอย่างว่า classical)

ฮีทสโตรกในสุนัขที่เกิดขึ้นในขณะออกกำลังกาย (Exertional Heatstroke) ความร้อนเกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายและมักพบมากในสุนัขที่ยังไม่ได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อม เช่น สุนัขเมืองหนาวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในพื้นที่อากาศร้อน หากให้เวลาในการปรับตัวกับอุณหภูมิสุนัขจะมีโอกาสเสี่ยงน้อยลงในการเกิดฮีทสโตรก การปรับตัวเพื่อให้ชินกับอากาศร้อน ๆ อาจใช้เวลาสูงสุดถึง 60 วัน โดยส่วนใหญ่แล้วควรให้เวลาสุนัขในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ 10 ถึง 20 วัน ให้น้องชินกับสภาพอากาศเมืองร้อนก่อนพาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้าน

ฮีทสโตรกในสุนัขที่ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะออกกำลังกาย (Nonexertional Heatstroke) เกิดจากการสัมผัสกับอุณหภูมิร้อนจัด หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมร้อนมาก ๆ โดยไม่มีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ เราจะพบเหตุการณ์นี้ได้บ่อย ๆ โดยเฉพาะในสุนัขที่ถูกลืมทิ้งเอาไว้ในรถที่ตากแดดกลางแจ้งหรือสุนัขที่ถูกขังเอาไว้ในห้องอับทึบไม่มีที่ระบายอากาศ

สุนัขตัวไหนเสี่ยงเป็นฮีทสโตรกบ้าง?

สุนัขแต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าต้องมีสุนัขบางสายพันธุ์หรือสุนัขที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นฮีทสโตรกมากกว่าสุนัขตัวอื่น ๆ สุนัขที่เป็นกลุ่มเสี่ยงมีดังนี้เลย 

สุนัขที่เสี่ยงเป็นฮีทสโตรกในสุนัข

สุนัขพันธุ์หน้าสั้น (Brachycephalic syndrome)  เช่น สุนัขสายพันธุ์ปั๊ก บ็อกเซอร์และบลูด็อก เป็นสุนัขที่มีความเสี่ยงสูงมากในการเป็นฮีทสโตรก สุนัขพันธุ์หน้าสั้นมีลักษณะใบหน้าที่มีจมูกแบนและปากเล็ก ซึ่งทำให้เขาหายใจได้ยากขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง เพียงแค่ปล่อยสุนัขทิ้งเอาไว้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไม่มากก็อาจทำให้น้องมีอาการของฮีทสโตรกในสุนัขได้แล้ว

สุนัขที่เป็นโรคหัวใจ (Cardiac disease) มีความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรก (heatstroke) เพราะโรคหัวใจทำให้ความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิร่างกายของสุนัขลดลง ทั้งในเรื่องสมรรถภาพทางกายที่ไม่แข็งแรงเท่ากับสุนัขปกติ เมื่ออุณหภูมิสภาพแวดล้อมเพิ่มขึ้น การควบคุมการสูญเสียความร้อนผ่านหายใจและการไหลเวียนเลือดไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ยากต่อการปรับตัวและรับมือกับความร้อนได้

สุนัขที่มีภาวะกล่องเสียงเป็นอัมพาต (Laryngeal paralysis) เนื่องจากภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบต่อระบบหายใจของสุนัขและความสามารถในการระบายความร้อนได้ โดยสุนัขที่มีภาวะกล่องเสียงเป็นอัมพาตมักมีการหายใจที่ลำบากและหายใจเร็วขึ้นในสภาพอากาศร้อน การหายใจที่มีปัญหาอาจทำให้สุนัขหมดแรงง่ายและไม่สามารถรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุนัขอ้วน (Obesity) มีความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรก (heatstroke) มากขึ้นเมื่อเทียบกับสุนัขที่มีน้ำหนักที่ปกติ เนื่องจากสุนัขที่มีน้ำหนักเกินมากก็จะมีมวลตัวเยอะตามไปด้วย การมีมวลตัวมากทำให้สุนัขเก็บความร้อนในร่างกายได้มากขึ้น และยากต่อการระบายความร้อนในร่างกาย

สุนัขหลอดลมตีบ (Tracheal collapse) จะมีการหายใจลำบาก เมื่อสุนัขมีหลอดลมตีบ สุนัขจะต้องการนำเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวิธีที่ช่วยได้ก็คือการหายใจบ่อยครั้งขึ้น นั่นหมายถึงว่าความร้อนจะเข้าสู่ร่างกายของสุนัขเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งในสภาวะอากาศร้อนอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรกมากขึ้นสุนัขที่ถูกใส่ที่ครอบปาก เนื่องจากสุนัขระบายความร้อนด้วยการหายใจหอบเป็นหลัก เมื่อถูกใส่ที่ครอบปากร่วมกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงจะทำให้สุนัขไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน

สังเกตอาการฮีทสโตรกในสุนัข รู้เร็ว โอกาสรอดสูง!

หากพบอาการเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าน้องหมาของเราจะเป็นฮีทสโตรกแล้วนะ! ควรรีบพาน้องหมาไปหาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

  • การหายใจหอบหนักมากผิดปกติ
  • เยื่อเมือกเปลี่ยนเป็นสีแดง สามารถสังเกตเยื่อเมือกของสุนัขได้ที่เหงือก (สีเหงือกในสุนัขปกติควรเป็นสีขาวอมชมพูและมีความชุ่มชื้น)
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • สุนัขมีภาวะขาดน้ำ เจ้าของสามารถสังเกตภาวะขาดน้ำของสุนัขได้จากการสัมผัสบริเวณเหงือก ถ้าแห้งมากคือขาดน้ำ 
  • อุณหภูมิร่างกายสูง (104 องศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไปหรือมากกว่า 40 องศาเซลเซียส)
  • การอาเจียน บางครั้งพบเลือดผสมออกมากับอาเจียนของสุนัข
  • อาการถ่ายเหลว ซึ่งอาจพบเลือดปนออกมาในอุจจาระ
  • เดินเซ สะดุดล้ม
  • อ่อนแรงและหมดสติ
  • มีอาการชักอาจถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาต่อมา

กาโตโระอยากให้รู้ อาการฉุกเฉินในสุนัขดูยังไง อ่านบทความนี้เลย 10 อาการฉุกเฉินในสุนัข หากสุนัขมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ด่วน!!

ปล่อยให้สุนัขเป็นฮีทสโตรกนาน ๆ ส่งผลต่อน้องอย่างไร?

เมื่อสุนัขเป็นฮีทสโตรกเป็นระยะเวลานาน ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเข้าไปทำลายการทำงานของอวัยวะภายในเกือบทุกระบบ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้น ๆ อย่างถาวร

ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง เซลล์ประสาทเสียหายหรือตายไป เกิดภาวะสมองบวม เลือดออกในสมอง

ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อการแข็งตัวของเลือด หลอดเลือดได้รับความเสียหาย ระบบการควบคุมการแข็งตัวของเลือดผิดปกติทำให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในระบบหมุนเวียนเลือด

ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบหัวใจ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติส่งผลให้ความสมดุลเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันเลือดต่ำ และเกิดภาวะช็อกได้

ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบหายใจ เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดในปอดโดยตรง ส่งผลให้ปอดบวม และอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome)

ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ฮีทสโตรกทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารผลิตสารพิษออกมา ซึ่งทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด การขาดเลือดในอวัยวะต่าง ๆ หัวใจทำงานผิดปกติ ช็อก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อไต อุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อไตโดยตรง ทำให้เนื้อเยื่อไตเสียหาย

ฮีทสโตรกในสุนัขโอกาสรอดเป็นอย่างไร?

การพยากรณ์โอกาสในการรอดชีวิตของสุนัขเป็นฮีทสโตรกขึ้นอยู่กับว่าอุณหภูมิร่างกายของสุนัขเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ระยะเวลาที่สุนัขต้องทนอยู่กับภาวะอุณหภูมิสูงเกินไป และสภาพร่างกายของสุนัขก่อนที่จะเกิดฮีทสโตรก

ถ้าอุณหภูมิร่างกายไม่เพิ่มสูงขึ้นจนเกินไป สัตว์เลี้ยงที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่จะหายได้เร็วหากได้รับการรักษาในทันที แต่สุนัขหลายตัวที่เป็นฮีทสโตรกไม่ได้โชคดีอย่างนั้น สุนัขส่วนใหญ่ที่เผชิญกับความร้อนในร่างกายร้อนจัดเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่อวัยวะภายในอื่น ๆ อย่างถาวร หรือเสียชีวิต

ส่วนสัตว์เลี้ยงตัวที่รอดชีวิตจากฮีทสโตรกมาได้แล้วจะมีโอกาสในการเกิดฮีทสโตรกครั้งที่ ​2 ครั้งที่ 3 และครั้งต่อ ๆ ไปตามมาได้ เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิได้รับความเสียหาย จึงทำให้การควบคุมอุณหภูมิในร่างกายไม่มีประสิทธิภาพ

วิธีแก้ฮีทสโตรกในสุนัข

วิธีแก้ฮีทสโตรกในสุนัขที่จะกล่าวถึงในบทความนี้เป็นเพียงวิธีการจัดการแบบฉุกเฉินเบื้องต้นเท่านั้น เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เองเมื่อพบสุนัขเป็นฮีทสโตรก เมื่อจัดการเบื้องต้นแล้วควรรีบส่งน้องไปโรงพยาบาลสัตว์โดยด่วนและควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดกับสัตวแพทย์ค่ะ วิธีจัดการเบื้องต้นเมื่อพบสุนัขเป็นฮีทสโตรกให้จัดการดังนี้เลย

  • เทน้ำเย็น (ไม่เย็นเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการช็อก) ลงบนสุนัขทันทีโดยใช้น้ำที่มีอุณหภูมิประมาณ 15-16 องศาเซลเซียส พบว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการระบายความร้อนให้กับสุนัขที่เป็นฮีทสโตรก ในกรณีฉุกเฉินสุด ๆ การใช้น้ำในอุณหภูมิปกติก็ยังดีกว่าการไม่ได้ใช้น้ำราดตัวเพื่อระบายความร้อนให้สุนัขเลย
  • ไม่แนะนำให้ห่อสุนัขด้วยผ้าขนหนูเปียกเนื่องจากอาจทำให้สภาพแย่ลงโดยผ้าขนหนูจะกักเก็บความร้อนเอาไว้ 
  • การระบายความร้อนของสุนัขจะเกิดได้ดีขึ้นถ้าหากเราสามารถหาพัดลมมาเป่าเพื่อระบายความร้อนออกจากตัวของสุนัขในระหว่างที่เราราดน้ำเพื่อระบายความร้อนไปด้วย 
  • ถ้าสุนัขมีสติให้สุนัขดื่มน้ำเย็นเป็นปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
  • ทำการเทน้ำเย็นลงบนสุนัขอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งการหายใจสุนัขเริ่มเป็นปกติ
  • หลีกเลี่ยงการเทน้ำบริเวณหัวของสุนัขหรือใกล้หัวสุนัข เนื่องจากมีความเสี่ยงในการสำลักน้ำเข้าสู่ระบบหายใจ ให้ระมัดระวังอย่างมากโดยเฉพาะสุนัขที่มีหน้าสั้นและสุนัขที่ไม่รู้สึกตัว

เมื่อจัดการลดอุณหภูมิในสุนัขเบื้องต้นแล้วควรรีบพาสุนัขไปหาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

วิธีป้องกันฮีทสโตรกสุนัข

การป้องกันไม่ให้สุนัขเกิดฮีทสโตรกถือเป็นคีย์สำคัญเลยในการดูแลสุนัข เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน โอกาสเกิดฮีทสโตรกจึงสูงมากอยู่แล้ว อากาศเริ่มร้อนขึ้นเมื่อไหร่ แนะนำให้เจ้าของสุนัขจัดการสภาพแวดล้อมให้น้องหมาตามนี้เลย

  • จัดการพื้นที่ให้สุนัขสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดและพื้นที่ร่มได้ตลอดเวลา
  • หากสุนัขจำเป็นต้องออกกำลังกาย ให้พาไปออกกำลังกายในช่วงเวลาที่ไม่ร้อนเท่านั้น (ตอนเช้าหรือตอนเย็น) อากาศที่ร้อนจัด แค่พาน้องหมาออกไปเดินไม่กี่นาทีอาจทำให้เกิดฮีทสโตรกได้
  • ไม่! ทิ้งสุนัขเอาไว้ในรถหรือพื้นที่ปิดที่ไม่มีการระบายอากาศ แม้ว่าจะแง้มกระจกเอาไว้หรือนำรถไปจอดในร่มแล้วก็ตาม แต่อุณหภูมิในรถอาจไต่ขึ้นสูงมากจนเป็นอันตรายต่อชีวิตของสุนัขได้อยู่ดี
  • ในวันที่อากาศร้อน ให้สุนัขอยู่แต่ภายในบ้าน เปิดแอร์ให้สุนัขถ้าหากเป็นไปได้ โดยเฉพาะสุนัขที่มีความเสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรก เช่น สุนัขหน้าสั้น สุนัขแก่ สุนัขเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคหลอดลมตีบ เป็นต้น

ฮีทสโตรกในสุนัขถ้าเป็นแล้วอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายทั้งการไหลเวียนของเลือด ระบบหายใจ สมอง และไต สุนัขกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการดูแลใส่ใจอย่างมาก สิ่งที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เลยก็คือมีความรู้เรื่องอาการฮีทสโตรกในสุนัขโดยการอ่านบทความนี้แหละค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ พบเห็บสุนัขทรมานจากโรคลมแดดนี้จะได้จัดการเบื้องต้นได้และพาน้องไปส่งโรงพยาบาลสัตว์ให้เร็วที่สุด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเซฟชีวิตของน้องได้ในระดับนึงแล้วล่ะ

แหล่งที่มาของข้อมูล
  1. https://todaysveterinarypractice.com/emergency-medicine-critical-care/todays-technician-heatstroke-in-dogs/
  2. https://www.rspca.org.uk/adviceandwelfare/pets/dogs/health/heatstroke
  3. https://www.petmd.com/dog/conditions/systemic/heatstroke-dogs

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลวส่วนบบุคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า