อากาศประเทศไทยร้อนมาก ๆ จะว่าประเทศไทยมีเพียง 3 ฤดูก็ว่าได้ ฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูร้อนมาก ซึ่งคนที่แข็งแรงอย่างเรา ๆ หากออกไปยืนตากแดดกลางแจ้งในฤดูร้อนก็ทำให้เกิดเป็นลมได้ง่าย ๆ เลย อากาศร้อน ๆ แบบนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่หากส่งผลกระทบต่อสุนัขอีกด้วย ฮีทสโตรกในสุนัขคืออะไร ทำไมอันตรายถึงชีวิต สังเกตอาการสุนัขเป็นฮีทสโตรก รวมถึงวิธีจัดการเบื้องต้นในฐานะเจ้าของ ตามไปดูกันเลยค่ะ
ฮีทสโตรกในสุนัขคืออะไร?
ฮีทสโตรกในสุนัข คือภาวะที่สุนัขมีอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ หากแต่สุนัขมีอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศภายนอกที่มีอุณหภูมิร้อนจัด เมื่อสุนัขเป็น Heatstroke เราจะสามารถวัดอุณหภูมิได้มากกว่า 104 องศาฟาเรนไฮต์หรือมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิสูงขนาดนี้ จะส่งผลต่อการทำงานในอวัยวะต่าง ๆ ของสุนัข หากปล่อยเอาไว้เป็นระยะเวลานานอาจทำให้สุนัขถึงแก่ชีวิตได้
ฮีทสโตรกในสุนัขเกิดจากอะไร
การเกิดฮีทสโตรกในสุนัขถูกแบ่งออกเป็นเกิดในขณะออกกำลังกาย (exertional) หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่ใช่ในขณะออกกำลังกาย (nonexertional, หรือเรียกอีกอย่างว่า classical)
ฮีทสโตรกในสุนัขที่เกิดขึ้นในขณะออกกำลังกาย (Exertional Heatstroke) ความร้อนเกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายและมักพบมากในสุนัขที่ยังไม่ได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อม เช่น สุนัขเมืองหนาวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในพื้นที่อากาศร้อน หากให้เวลาในการปรับตัวกับอุณหภูมิสุนัขจะมีโอกาสเสี่ยงน้อยลงในการเกิดฮีทสโตรก การปรับตัวเพื่อให้ชินกับอากาศร้อน ๆ อาจใช้เวลาสูงสุดถึง 60 วัน โดยส่วนใหญ่แล้วควรให้เวลาสุนัขในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ 10 ถึง 20 วัน ให้น้องชินกับสภาพอากาศเมืองร้อนก่อนพาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้าน
ฮีทสโตรกในสุนัขที่ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะออกกำลังกาย (Nonexertional Heatstroke) เกิดจากการสัมผัสกับอุณหภูมิร้อนจัด หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมร้อนมาก ๆ โดยไม่มีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ เราจะพบเหตุการณ์นี้ได้บ่อย ๆ โดยเฉพาะในสุนัขที่ถูกลืมทิ้งเอาไว้ในรถที่ตากแดดกลางแจ้งหรือสุนัขที่ถูกขังเอาไว้ในห้องอับทึบไม่มีที่ระบายอากาศ
สุนัขตัวไหนเสี่ยงเป็นฮีทสโตรกบ้าง?
สุนัขแต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าต้องมีสุนัขบางสายพันธุ์หรือสุนัขที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นฮีทสโตรกมากกว่าสุนัขตัวอื่น ๆ สุนัขที่เป็นกลุ่มเสี่ยงมีดังนี้เลย
สุนัขพันธุ์หน้าสั้น (Brachycephalic syndrome) เช่น สุนัขสายพันธุ์ปั๊ก บ็อกเซอร์และบลูด็อก เป็นสุนัขที่มีความเสี่ยงสูงมากในการเป็นฮีทสโตรก สุนัขพันธุ์หน้าสั้นมีลักษณะใบหน้าที่มีจมูกแบนและปากเล็ก ซึ่งทำให้เขาหายใจได้ยากขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง เพียงแค่ปล่อยสุนัขทิ้งเอาไว้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไม่มากก็อาจทำให้น้องมีอาการของฮีทสโตรกในสุนัขได้แล้ว
สุนัขที่เป็นโรคหัวใจ (Cardiac disease) มีความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรก (heatstroke) เพราะโรคหัวใจทำให้ความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิร่างกายของสุนัขลดลง ทั้งในเรื่องสมรรถภาพทางกายที่ไม่แข็งแรงเท่ากับสุนัขปกติ เมื่ออุณหภูมิสภาพแวดล้อมเพิ่มขึ้น การควบคุมการสูญเสียความร้อนผ่านหายใจและการไหลเวียนเลือดไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ยากต่อการปรับตัวและรับมือกับความร้อนได้
สุนัขที่มีภาวะกล่องเสียงเป็นอัมพาต (Laryngeal paralysis) เนื่องจากภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบต่อระบบหายใจของสุนัขและความสามารถในการระบายความร้อนได้ โดยสุนัขที่มีภาวะกล่องเสียงเป็นอัมพาตมักมีการหายใจที่ลำบากและหายใจเร็วขึ้นในสภาพอากาศร้อน การหายใจที่มีปัญหาอาจทำให้สุนัขหมดแรงง่ายและไม่สามารถรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุนัขอ้วน (Obesity) มีความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรก (heatstroke) มากขึ้นเมื่อเทียบกับสุนัขที่มีน้ำหนักที่ปกติ เนื่องจากสุนัขที่มีน้ำหนักเกินมากก็จะมีมวลตัวเยอะตามไปด้วย การมีมวลตัวมากทำให้สุนัขเก็บความร้อนในร่างกายได้มากขึ้น และยากต่อการระบายความร้อนในร่างกาย
สุนัขหลอดลมตีบ (Tracheal collapse) จะมีการหายใจลำบาก เมื่อสุนัขมีหลอดลมตีบ สุนัขจะต้องการนำเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวิธีที่ช่วยได้ก็คือการหายใจบ่อยครั้งขึ้น นั่นหมายถึงว่าความร้อนจะเข้าสู่ร่างกายของสุนัขเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งในสภาวะอากาศร้อนอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรกมากขึ้นสุนัขที่ถูกใส่ที่ครอบปาก เนื่องจากสุนัขระบายความร้อนด้วยการหายใจหอบเป็นหลัก เมื่อถูกใส่ที่ครอบปากร่วมกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงจะทำให้สุนัขไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน
สังเกตอาการฮีทสโตรกในสุนัข รู้เร็ว โอกาสรอดสูง!
หากพบอาการเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าน้องหมาของเราจะเป็นฮีทสโตรกแล้วนะ! ควรรีบพาน้องหมาไปหาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด
- การหายใจหอบหนักมากผิดปกติ
- เยื่อเมือกเปลี่ยนเป็นสีแดง สามารถสังเกตเยื่อเมือกของสุนัขได้ที่เหงือก (สีเหงือกในสุนัขปกติควรเป็นสีขาวอมชมพูและมีความชุ่มชื้น)
- หัวใจเต้นเร็ว
- สุนัขมีภาวะขาดน้ำ เจ้าของสามารถสังเกตภาวะขาดน้ำของสุนัขได้จากการสัมผัสบริเวณเหงือก ถ้าแห้งมากคือขาดน้ำ
- อุณหภูมิร่างกายสูง (104 องศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไปหรือมากกว่า 40 องศาเซลเซียส)
- การอาเจียน บางครั้งพบเลือดผสมออกมากับอาเจียนของสุนัข
- อาการถ่ายเหลว ซึ่งอาจพบเลือดปนออกมาในอุจจาระ
- เดินเซ สะดุดล้ม
- อ่อนแรงและหมดสติ
- มีอาการชักอาจถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาต่อมา
กาโตโระอยากให้รู้ อาการฉุกเฉินในสุนัขดูยังไง อ่านบทความนี้เลย 10 อาการฉุกเฉินในสุนัข หากสุนัขมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ด่วน!!
ปล่อยให้สุนัขเป็นฮีทสโตรกนาน ๆ ส่งผลต่อน้องอย่างไร?
เมื่อสุนัขเป็นฮีทสโตรกเป็นระยะเวลานาน ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเข้าไปทำลายการทำงานของอวัยวะภายในเกือบทุกระบบ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้น ๆ อย่างถาวร
ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง เซลล์ประสาทเสียหายหรือตายไป เกิดภาวะสมองบวม เลือดออกในสมอง
ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อการแข็งตัวของเลือด หลอดเลือดได้รับความเสียหาย ระบบการควบคุมการแข็งตัวของเลือดผิดปกติทำให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในระบบหมุนเวียนเลือด
ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบหัวใจ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติส่งผลให้ความสมดุลเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันเลือดต่ำ และเกิดภาวะช็อกได้
ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบหายใจ เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดในปอดโดยตรง ส่งผลให้ปอดบวม และอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome)
ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ฮีทสโตรกทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารผลิตสารพิษออกมา ซึ่งทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด การขาดเลือดในอวัยวะต่าง ๆ หัวใจทำงานผิดปกติ ช็อก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ฮีทสโตรกในสุนัขและผลกระทบต่อไต อุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อไตโดยตรง ทำให้เนื้อเยื่อไตเสียหาย
ฮีทสโตรกในสุนัขโอกาสรอดเป็นอย่างไร?
การพยากรณ์โอกาสในการรอดชีวิตของสุนัขเป็นฮีทสโตรกขึ้นอยู่กับว่าอุณหภูมิร่างกายของสุนัขเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ระยะเวลาที่สุนัขต้องทนอยู่กับภาวะอุณหภูมิสูงเกินไป และสภาพร่างกายของสุนัขก่อนที่จะเกิดฮีทสโตรก
ถ้าอุณหภูมิร่างกายไม่เพิ่มสูงขึ้นจนเกินไป สัตว์เลี้ยงที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่จะหายได้เร็วหากได้รับการรักษาในทันที แต่สุนัขหลายตัวที่เป็นฮีทสโตรกไม่ได้โชคดีอย่างนั้น สุนัขส่วนใหญ่ที่เผชิญกับความร้อนในร่างกายร้อนจัดเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่อวัยวะภายในอื่น ๆ อย่างถาวร หรือเสียชีวิต
ส่วนสัตว์เลี้ยงตัวที่รอดชีวิตจากฮีทสโตรกมาได้แล้วจะมีโอกาสในการเกิดฮีทสโตรกครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งต่อ ๆ ไปตามมาได้ เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิได้รับความเสียหาย จึงทำให้การควบคุมอุณหภูมิในร่างกายไม่มีประสิทธิภาพ
วิธีแก้ฮีทสโตรกในสุนัข
วิธีแก้ฮีทสโตรกในสุนัขที่จะกล่าวถึงในบทความนี้เป็นเพียงวิธีการจัดการแบบฉุกเฉินเบื้องต้นเท่านั้น เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เองเมื่อพบสุนัขเป็นฮีทสโตรก เมื่อจัดการเบื้องต้นแล้วควรรีบส่งน้องไปโรงพยาบาลสัตว์โดยด่วนและควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดกับสัตวแพทย์ค่ะ วิธีจัดการเบื้องต้นเมื่อพบสุนัขเป็นฮีทสโตรกให้จัดการดังนี้เลย
- เทน้ำเย็น (ไม่เย็นเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการช็อก) ลงบนสุนัขทันทีโดยใช้น้ำที่มีอุณหภูมิประมาณ 15-16 องศาเซลเซียส พบว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการระบายความร้อนให้กับสุนัขที่เป็นฮีทสโตรก ในกรณีฉุกเฉินสุด ๆ การใช้น้ำในอุณหภูมิปกติก็ยังดีกว่าการไม่ได้ใช้น้ำราดตัวเพื่อระบายความร้อนให้สุนัขเลย
- ไม่แนะนำให้ห่อสุนัขด้วยผ้าขนหนูเปียกเนื่องจากอาจทำให้สภาพแย่ลงโดยผ้าขนหนูจะกักเก็บความร้อนเอาไว้
- การระบายความร้อนของสุนัขจะเกิดได้ดีขึ้นถ้าหากเราสามารถหาพัดลมมาเป่าเพื่อระบายความร้อนออกจากตัวของสุนัขในระหว่างที่เราราดน้ำเพื่อระบายความร้อนไปด้วย
- ถ้าสุนัขมีสติให้สุนัขดื่มน้ำเย็นเป็นปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
- ทำการเทน้ำเย็นลงบนสุนัขอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งการหายใจสุนัขเริ่มเป็นปกติ
- หลีกเลี่ยงการเทน้ำบริเวณหัวของสุนัขหรือใกล้หัวสุนัข เนื่องจากมีความเสี่ยงในการสำลักน้ำเข้าสู่ระบบหายใจ ให้ระมัดระวังอย่างมากโดยเฉพาะสุนัขที่มีหน้าสั้นและสุนัขที่ไม่รู้สึกตัว
เมื่อจัดการลดอุณหภูมิในสุนัขเบื้องต้นแล้วควรรีบพาสุนัขไปหาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด
วิธีป้องกันฮีทสโตรกสุนัข
การป้องกันไม่ให้สุนัขเกิดฮีทสโตรกถือเป็นคีย์สำคัญเลยในการดูแลสุนัข เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน โอกาสเกิดฮีทสโตรกจึงสูงมากอยู่แล้ว อากาศเริ่มร้อนขึ้นเมื่อไหร่ แนะนำให้เจ้าของสุนัขจัดการสภาพแวดล้อมให้น้องหมาตามนี้เลย
- จัดการพื้นที่ให้สุนัขสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดและพื้นที่ร่มได้ตลอดเวลา
- หากสุนัขจำเป็นต้องออกกำลังกาย ให้พาไปออกกำลังกายในช่วงเวลาที่ไม่ร้อนเท่านั้น (ตอนเช้าหรือตอนเย็น) อากาศที่ร้อนจัด แค่พาน้องหมาออกไปเดินไม่กี่นาทีอาจทำให้เกิดฮีทสโตรกได้
- ไม่! ทิ้งสุนัขเอาไว้ในรถหรือพื้นที่ปิดที่ไม่มีการระบายอากาศ แม้ว่าจะแง้มกระจกเอาไว้หรือนำรถไปจอดในร่มแล้วก็ตาม แต่อุณหภูมิในรถอาจไต่ขึ้นสูงมากจนเป็นอันตรายต่อชีวิตของสุนัขได้อยู่ดี
- ในวันที่อากาศร้อน ให้สุนัขอยู่แต่ภายในบ้าน เปิดแอร์ให้สุนัขถ้าหากเป็นไปได้ โดยเฉพาะสุนัขที่มีความเสี่ยงในการเกิดฮีทสโตรก เช่น สุนัขหน้าสั้น สุนัขแก่ สุนัขเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคหลอดลมตีบ เป็นต้น
ฮีทสโตรกในสุนัขถ้าเป็นแล้วอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายทั้งการไหลเวียนของเลือด ระบบหายใจ สมอง และไต สุนัขกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการดูแลใส่ใจอย่างมาก สิ่งที่เจ้าของสุนัขสามารถทำได้เลยก็คือมีความรู้เรื่องอาการฮีทสโตรกในสุนัขโดยการอ่านบทความนี้แหละค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ พบเห็บสุนัขทรมานจากโรคลมแดดนี้จะได้จัดการเบื้องต้นได้และพาน้องไปส่งโรงพยาบาลสัตว์ให้เร็วที่สุด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเซฟชีวิตของน้องได้ในระดับนึงแล้วล่ะ