ไฮไลท์ของสายพันธุ์บีเกิ้ล
- บีเกิ้ลขี้เบื่อง่ายหากถูกทิ้งให้อยู่ในบ้านตัวเดียวเป็นเวลานาน แต่หากคุณทิ้งบีเกิ้ลเอาไว้ที่สวนหลังบ้านล่ะก็ บีเกิ้ลก็จะเอ็นเตอร์เทนตัวเองด้วยการเห่าหอน ขุดดินและพยายามหนี
- บีเกิ้ลเป็นสุนัขยอดนักเห่า หากมั่นใจว่ายอมรับการเห่าหอนเสียงดังจำนวนบ่อยครั้งได้แล้วและมั่นใจว่าเสียงเห่าของน้องจะไม่ทำให้เกิดปัญหากับข้างบ้าน การมีบีเกิ้ลในชีวิตจะสร้างสีสันให้คุณได้อย่างแน่นอน
- นอกจากเห่าเก่งแล้วบีเกิ้ลยังดมเก่งไม่แพ้กัน โปรดระมัดระวัง! หากปล่อยให้บีเกิ้ลออกไปเล่นนอกบ้าน บีเกิ้ลนั้นเวลาได้กลิ่นที่เขาสนใจ น้องอาจตามกลิ่นนั้นไป ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง อาจเกิดอันตรายหรือพลัดหลงได้
- ถึงแม้ภายนอกของบีเกิ้ลส่วนใหญ่จะดูน่ารักและสุภาพ แต่บีเกิ้ลบางตัวกลับมีความเป็นตัวของตัวเองสูงและมีความดื้อ การฝึนฝนบีเกิ้ลให้อยู่ในระเบียบวินัยตั้งแต่เด็ก ๆ จึงมีความสำคัญอย่างมาก ความโชคดีในเรื่องนี้ก็คือบีเกิ้ลจะยอมถูกฝึกได้ง่ายเพราะอดทนต่อสิ่งล่อใจอย่างขนมรางวัลไม่ไหว
- ความสามารถในการดมของน้องยังไม่หมดเท่านี้ การซ่อนอาหารที่ไม่มิดชิดมากพอ บีเกิ้ลจะดมและรื้อค้นอาหารออกมาได้อย่างแน่นอน และบีเกิ้ลก็เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ค่อนข้างอ้วนได้ง่าย
- บีเกิ้ลมีความเป็นมิตรต่อผู้คน หากใครต้องการเลี้ยงน้องเพื่อให้เฝ้าบ้าน ให้ลืมสายพันธุ์นี้ไปได้เลย
รู้หรือไม่ ตัวการ์ตูน Snoopy ถูกสร้างโดย Charles M. Schulz คือสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล!!
ความเป็นมาของบีเกิ้ล
ต้นกำเนิดดั้งเดิมของบีเกิ้ลไม่แน่ชัด บ้างก็ว่าพบบีเกิ้ลครั้งแรกในประเทศกรีซ บ้างก็ว่าชาวโรมันเป็นผู้นำสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้เพื่อล่ากระต่าย นำมาผสมพันธุ์กับสุนัขนักล่าประจำถิ่นของชาวอังกฤษจนเกิดเป็นบรรพบุรุษสายพันธุ์บีเกิ้ล
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายว่าสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลเริ่มได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1307 ในสมัยของพระราชา Edward II เป็นต้นมา สมัยนั้นบีเกิ้ลมีขนาดเล็กมาก พวกมันถูกเรียกว่า “Gloved Beagles” บางคนก็เรียกว่า บีเกิ้ลสุนัขยอดนักร้อง (Singing Beagles)
ในยุคของพระราชินี Elizabeth I (ค.ศ.1533-1603) บีเกิ้ลซึ่งในขณะนั้นยังไม่ถูกปรับปรุงสายพันธุ์มีความสูงเพียง 9 นิ้ว แต่ความป๊อปปูล่าร์นั้นกับตรงกับข้าม เนื่องจากความสามารถในการดมกลิ่น ทำให้บีเกิ้ลได้รับความนิยมอย่างสูงในกีฬาล่าสัตว์ของเหล่าชนชั้นสูง แต่ข้อจำกัดของบีเกิ้ลในยุคนี้คือบีเกิ้ลเดินค่อนข้างช้า
บีเกิ้ลถูกพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1800 Reverend Phillip Honeywood พัฒนาสายพันธุ์บีเกิ้ลที่คาดว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษของสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลในปัจจุบัน โดยเขาพยายามที่จะพัฒนาบีเกิ้ลให้มีความสามารถในการล่า โดยในสมัยนั้นบีเกิ้ลมีขนาดตัวประมาณ 15-17 นิ้ว และถูกใช้สำหรับการล่าสุนัขจิ้งจอก
ในขณะเดียวกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา บีเกิ้ลถูกนำเข้ามาจากประเทศอังกฤษและได้มีการพยายามพัฒนาสายพันธุ์บีเกิ้ลให้ดูมีความน่ารักมากยิ่งขึ้น และทำให้มีขนาดตัวเล็กลงเพื่อให้เหมาะสมกับการล่ากระต่าย
และในปี ค.ศ.1884 สายพันธุ์บีเกิ้ลได้รับการรับรองจาก The American Kennel Club อย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนว่าบีเกิ้ลจะได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการงานวิจัยต่าง ๆ และวงการสุนัขดมกลิ่นเพื่อตรวจหาสิ่งผิดกฎหมายตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ
สายพันธุ์สุนัขที่คล้ายคลึงกับสุนัขบีเกิ้ล
สายพันธุ์สุนัขที่มีความคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล ซึ่งสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลคาดว่าอาจถูกผสมมาจากสุนัขในกลุ่ม English scent hound เช่น Harrier และ English Foxhound
บีเกิ้ล นิสัยเป็นอย่างไร
บีเกิ้ลนอกจากจะเป็นสุนัขยอดนักดมแล้วยังเป็นที่รู้กันอีกด้วยว่าบีเกิ้ลเป็นสุนัขยอดนักร้อง ชอบเห่าและเห่าเสียงดังมากอีกด้วย นี่คือจุดเด่นของเขาเลยล่ะ
บีเกิ้ลเป็นสายพันธุ์ที่มีความแอคทีฟสูง ชอบทำกิจกรรมกับมนุษย์ หน้าตาน่ารัก สุภาพ มีความดื้ออยู่ในตัว แต่หากบีเกิ้ลได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็ก ๆ และได้ฝึกการเข้าสังคมอย่างถูกต้อง บีเกิ้ลจะก็สามารถกลายเป็นสุนัขที่มีวินัยและทำตามคำสั่งของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี บีเกิ้ลนั้นขึ้นชื่อเรื่องการเรียนรู้ เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาด เรียนรู้ได้ไว เนื่องจากน้องชอบกินมาก และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กินของที่ชอบ ยอมทำทุกอย่างเพื่อขนมรางวัล
อย่าแปลกใจหากพบว่าบีเกิ้ลชอบก้มหน้าก้มตาทำจมูกฟุตฟิตไปกับพื้นดิน เรียกได้ว่าการดมกลิ่นคือพรสวรรค์ของสุนัขพันธุ์นี้เลยแหละ บีเกิ้ลมีเซลล์ประสาทที่ใช้รับกลิ่นมากกว่า 220 ล้านเซลล์ ในขณะที่มนุษย์มีอยู่เพียง 5 ล้านเซลล์เท่านั้น หากพาบีเกิ้ลออกไปเดินเล่นนอกบ้านจึงไม่ควรปล่อยจากสายจูงอย่างเด็ดขาด เพราะน้องอาจจะดมกลิ่นเพลินจนเดินหลงไปที่อื่นได้
ความต้องการพื้นฐานของบีเกิ้ล
หลายคนคงมีความสงสัยว่าบีเกิ้ลเลี้ยงยากไหม ซึ่งในส่วนนี้หากเราทำความเข้าใจลักษณะนิสัย ความต้องการการดูแลในด้านต่าง ๆ การเลี้ยงบีเกิ้ลก็ไม่ยากจนเกินไปแน่นอน ถึงเป็นมือใหม่ก็สามารถเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ได้
สารอาหาร
บีเกิ้ลขึ้นชื่อในเรื่องของความแอคทีฟ ชอบทำกิจกรรม เพราะฉะนั้นสารอาหารที่บีเกิ้ลควรได้รับในแต่ละวันต้องเหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีของน้อง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำในแต่ละวันมีดังนี้
โปรตีน 30-40%
ไขมันดี 15-20%
คาร์โบไฮเดรต 30-50%
อย่างไรก็ตาม หากผู้เลี้ยงต้องการออกแบบอาหารในบีเกิ้ลเอง ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนเสมอ หากผู้เลี้ยงเป็นมือใหม่ แนะนำให้ใช้อาหารสำเร็จรูปตามท้องตลาด มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือก ซึ่งแบรนด์ที่ได้มาตรฐานจะมีตารางปริมาณอาหารที่ควรให้บีเกิ้ลแนะนำอยู่บนผลิตภัณฑ์เสมอ
สิ่งที่ควรสังเกตเมื่อเลือกซื้ออาหารให้บีเกิ้ล
มีเนื้อแท้เป็นส่วนผสม (Real meat) หรือเป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (Meat by products) แหล่งโปรตีนที่สำคัญในอาหาร แน่นอนว่าก็ต้องมาจากสัตว์เป็นส่วนใหญ่ (ไก่ แกะ ปลา เนื้อ เป็นต้น) แต่หากพบคำว่า Meat by products อยู่ในส่วนประกอบของอาหารบีเกิ้ล นั่นหมายความว่า แหล่งโปรตีนของอาหารชนิดนี้มาจากส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อ เช่น ตับ สมอง หัวใจ ไต และเครื่องในต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ล้วน ๆ กับ Meat by products ราคาย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็น Real meat หรือ Meat by products ต่างก็เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของบีเกิ้ลได้เช่นเดียวกัน
สัดส่วนสารอาหารเหมาะสมหรือไม่ บีเกิ้ลควรได้รับโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันดี และวิตามินต่าง ๆ หากบีเกิ้ลของคุณสุขภาพดีอยู่แล้ว แนะนำให้เลือกอาหารตามช่วงอายุของสุนัขได้เลย เพราะอาหารตามช่วงอายุได้รับการปรับปรุงสัดส่วนสารอาหารให้เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีอาหารเฉพาะสายพันธุ์ออกมาให้เลือกซื้อ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม ถือว่าเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจของผู้บริโภคเป็นอย่างยิ่ง
แล้วบีเกิ้ล ห้ามกินอะไร!? บีเกิ้ลเองก็เหมือนกับสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ สิ่งที่เป็นพิษกับสุนัขสายพันธุ์อื่นก็เป็นพิษแก่บีเกิ้ลเช่นเดียวกัน เช่น ช็อกโกแลต กระเทียม หัวหอม และกาแฟ เป็นต้น
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
สุนัขกินช็อกโกแลต: อันตรายจากช็อกโกแลต อาการและควรทำอย่างไรเมื่อสุนัขกินช็อกโกแลต
9 อาหารยอดฮิตที่คนชอบเอาให้หมากิน จะเป็นอันตรายหรือเปล่า
รักษาความสะอาด
บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่มีขน 2 ชั้น สั้น หนาแน่นและมีคุณลักษณะกันน้ำ หากไม่ได้ออกนอกบ้านบ่อยอย่างน้อยควรทำความสะอาดด้วยการแปรงขนให้บีเกิ้ลเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ชนิดของอุปกรณ์แปรงขนที่แนะนำได้แก่ Medium-bristle brush หรือ Hound glove จะช่วยกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วและกระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นขนได้ดี
บีเกิ้ลผลัดขนบ้าง เจ้าของไม่ค่อยบ่นเรื่องการผลัดขนของบีเกิ้ลเท่าไหร่นัก คือสามารถพบได้ตามเฟอร์นิเจอร์บ้างเป็นครั้งคราว บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่ค่อนข้างสะอาดเลยทีเดียว จึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้บีเกิ้ลบ่อยนักหากน้องไม่ได้ไปคลุกดินคลุกฝุ่นมา
สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดในเรื่องความสะอาดของบีเกิ้ลก็คือใบหู เนื่องจากลักษณะตามธรรมชาติของบีเกิ้ลที่หูปรก ทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย อย่างน้อยควรทำความสะอาดหูของบีเกิ้ลสัปดาห์ละครั้ง วิธีสังเกตว่าบีเกิ้ลคันหู สามารถดูได้ง่าย ๆ เลยก็คือ บีเกิ้ลสะบัดหัว น้องไม่ได้อยากร้องเพลงร็อค แต่อาจจะคันหูอยู่ก็เป็นได้
แปรงฟันให้บีเกิ้ลบ่อยแค่ไหนดี? เพื่อสุขภาพปากและฟันที่ดีของบีเกิ้ลควรแปรงฟันให้น้องอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
แล้วการตัดเล็บให้บีเกิ้ลล่ะ แนะนำว่าควรตัดเล็บให้บีเกิ้ลอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อเดือน วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเล็บของน้องยาวเกินไปแล้วให้ใช้ “การฟัง” หากได้ยินเสียงเล็บครูดไปตามพื้นเวลาบีเกิ้ลเดินไปเดินมา อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าเล็บน้องยาวเกินไปแล้วนั่นเอง หากน้องมีเล็บดำ ตัดลำบาก แนะนำว่าควรพาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตัดจะดีกว่า เพราะการห้ามเลือดที่บริเวณนิ้วเท้านั้นไม่สนุกเอาซะเลย
ออกกำลังกาย
บีเกิ้ลวัยเด็กควรได้รับการฝึกฝนการเข้าสังคมเพื่อเรียนรู้การปฏิสัมพันธ์กับสุนัขตัวอื่น เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของบีเกิ้ลที่ชอบดมไปทั่วและชอบเล่น การเข้าสังคมจึงเป็นสกิลที่สำคัญมากสำหรับบีเกิ้ล โดยสุนัขบีเกิ้ลจะเริ่มเข้าสังคมที่อายุประมาณ 6-8 สัปดาห์
บทความแนะนำ พัฒนาการลูกสุนัขจนกระทั่งโตเต็มวัย
เมื่อเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่นบีเกิ้ลจะมีพลังงานล้นเหลือมาก การพาบีเกิ้ลออกไปเดินเล่นนอกบ้านเป็นประจำ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
เมื่อบีเกิ้ลโตเต็มที่ (ประมาณ 18 เดือน) บีเกิ้ลที่เคยร่าเริงอาจกลายเป็นบีเกิ้ลขี้เกียจได้ หากดูคลิปตามอินเตอร์เน็ตจะเห็นว่าบีเกิ้ลส่วนใหญ่นั้นน้ำหนักเกินมาตรฐาน วัน ๆ หาแต่ของกิน ซึ่งสายพันธุ์บีเกิ้ลนั้นอ้วนได้ง่ายอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น พาน้องไปเดินเล่นให้เป็นประจำเหมือนตอนที่เราเพิ่งได้รับน้องมาเพื่อสุขภาพที่ดีของน้อง
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย
Cherry Eye (โรคเชอร์รี่อาย) คือภาวะของต่อมของหนังตาที่สามยื่นโผล่ออกมาเป็นถุงสีแดง ๆ บริเวณหัวตา สร้างความรำคาญให้สุนัข โรคนี้สามารถผ่าตัดแก้ไขได้แต่อาจจะมีผลข้างเคียงคือภาวะตาแห้ง ควรปรึกษาสัตวแพทย์ถึงความพร้อมของสุนัขและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหากเลือกที่จะผ่าตัดแก้ไขหรือไม่ผ่าตัดแก้ไข
Hip Dysplasia (โรคข้อสะโพกเสื่อม) สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรม เป็นภาวะที่กระดูกต้นขาไม่สามารถเข้าล็อกได้พอดีกันกับข้อสะโพก ทำให้ข้อสะโพกมีรูปร่างที่ผิดปกติ ส่งผลให้สุนัขเกิดความเจ็บปวดตามมา สุนัขบางตัวแสดงอาการเดินกะเผลก สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจร่างกายและเอ็กซเรย์ ส่วนใหญ่แล้วหากพบว่าบีเกิ้ลมีภาวะนี้ ไม่ควรนำมาทำเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
Glaucoma (โรคต้อหิน) เป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงให้สุนัขบีเกิ้ล เกิดจากความดันภายในลูกตาสูงขึ้น หากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เส้นประสาทที่มาเลี้ยงดวงตาและทำให้สุนัขสูญเสียการมองเห็นได้ สุนัขที่เป็นโรคนี้อาจพบว่าสุนัขตาแดง น้ำตาไหล หรี่ตา เมื่อนำไฟส่องไปที่ดวงตาพบว่าม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง ซึ่งถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน หากพบอาการเหล่านี้ควรพาไปหาสัตวแพทย์ด่วน
บทความแนะนำ 10 อาการฉุกเฉินในสุนัข หากสุนัขมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ด่วน!!
Epilepsy (โรคลมชัก) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง หากบีเกิ้ลมีภาวะนี้จะสังเกตเห็นอาการชัก เกร็งกระตุก หรือเหม่อ ควรพาไปหาสัตวแพทย์ทันทีหากพบอาการเหล่านี้
Hypothyroidism (ไทรอยด์ต่ำ) ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้สุนัขมีภาวะอ้วน ขนร่วง อ่อนแรง ผิวหนังสีเข้มขึ้น เป็นต้น ภาวะนี้สามารถควบคุมได้ด้วยการทานยา
Patellar Luxation (ลูกสะบ้าเคลื่อน) เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับสุนัขพันธุ์เล็กอยู่เป็นประจำ เมื่อลูกสะบ้าเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติจะส่งผลให้สุนัขเกิดความเจ็บปวด เดินกะเผลก ไม่ใช้ขาข้างที่เจ็บ หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดภาวะข้อเสื่อมตามมาได้ ควรพาสุนัขไปตรวจกับสัตวแพทย์ หากโรคอยู่ในภาวะรุนแรงสุนัขอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะนี้